ออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen; DO) สำหรับระบบบำบัดน้ำเสีย ชนิดใช้อากาศ
ออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen; DO) สำหรับระบบบำบัดน้ำเสีย ชนิดใช้อากาศ (Aeration) ค่า DO มีความสำคัญมาก หน่วยการวัดของ DO คือ มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/l) โดยปกติการวัดค่า DO ในระบบบำบัดน้ำเสียจะเป็นการวัดเพื่อทราบค่าออกซิเจนละลายน้ำที่เหลือจากการที่จุลินทรีย์นำออกซิเจนไปใช้ ทำให้เราได้ยินกันบ่อยๆว่า ควรเติมอากาศให้ค่า DO มากกว่า 2 mg/l ในบ่อเติมอากาศ ออกซิเจนละลายน้ำได้ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ อุณหภูมิ, ความเค็ม, ความดันบรรยากาศ และความลึกของน้ำ
– อุณหภูมิในน้ำลดลง : ออกซิเจนจะละลายได้มากขึ้น – อุณหภูมิในน้ำเพิ่มขึ้น : ออกซิเจนจะละลายได้น้อยลง – น้ำที่มีความเค็มมาก : ออกซิเจนจะละลายได้น้อยลง – ความดันของอากาศเพิ่ม : ออกซิเจนละลายได้น้อยลง – ระดับน้ำยิ่งลึก : ออกซิเจนละลายน้ำได้ลดลง การวัดค่า DO ในระบบบำบัดน้ำเสีย – ความสกปรกของน้ำเสียที่เข้ามาก : DO จะลดลง – ปริมาณจุลินทรีย์ในระบบมาก : DO จะลดลง – ปริมาณน้ำเสียเข้าระบบมาก : DO จะลดลง – วัดค่า DO ใกล้จุดจ่ายอากาศ : DO มากเกินไป – สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น แพงก์ตอน มาก : DO จะลดลง – สาหร่ายมาก ตอนที่สังเคราะห์แสง : DO เพิ่มขึ้น
การเติมอากาศให้ฟองละเอียดและทั่วถึงทั้งบ่อ หรือ การทำให้อากาศละลายน้ำได้มากๆ ก็มีส่วนช่วยในการประหยัดพลังงานและช่วยเพิ่มค่า DO ในน้ำได้ (หากเครื่องเติมอากาศขนาดเท่ากัน) แต่ถึงอย่างไรถ้าการเติมอากาศจนวัดค่า DO มากกว่า 2 mg/l แล้ว ก็ใช่ว่าจะบำบัดน้ำเสียได้ เพราะการบำบัดน้ำเสียต้องอาศัยจุลินทรีย์ในการย่อยสลายสารอินทรีย์เป็นหลัก การเติมอากาศเป็นเพียงการช่วยให้จุลินทรีย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เพื่อบำบัดน้ำเสีย
“การให้บริการและการบริหารจัดการงานด้านสิ่งแวดล้อม
ด้วยหลักวิชาการและความซื่อสัตย์ เพื่อความยั่งยืนสำหรับลูกค้าในการแข่งขันทางธุรกิจ”
2. ผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษ (Pollution Controllers)
3. งานวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม (Environmental Engineering)
4. ควบคุมระบบบำบัดมลพิษ (Operation and Start Up)
5. ตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ (Examination and Efficiency Analysis)
6. ซ่อมแซมและบำรุงรักษา (Repair and Maintenance)
ลักษณะน้ำเสียตามประเภทอุตสาหกรรม เช่น
อุตสาหกรรมอาหาร น้ำเสียจากอุตสาหกรรมประเภทนี้โดยปกติแล้วจะไม่มีสารอันตราย แต่จะมีความแตกต่างกันตามประเภทโรงงาน วัตถุดิบ กระบวนการผลิตและปริมาณผลผลิต ลักษณะโดยทั่วไปจะประกอบด้วย อินทรีย์วัตถุ, ตะกอนแขวนลอย, ปริมาณและลักษณะน้ำเสีย, น้ำที่ใช้ล้าง (บางครั้งเป็นน้ำร้อน) มักถูกปล่อยออกมาเป็นจำนวนมาก, มักจะประกอบด้วยน้ำมัน ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส โดยเฉพาะพวกแป้งและเบียร์จะทำให้มีค่า BOD สูง
อุตสาหกรรมผลิตเหล็กและเหล็กกล้า เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำในปริมาณสูง น้ำเสียเกิดจากกระบวนการทำความเย็นและทำความสะอาดสำหรับเตาหลอมถ่านโค้ก ประกอบด้วย แอมโมเนีย ไซยาไนด์ ฟีนอล ฯลฯ นอกจากนี้น้ำเสียที่มาจากกระบวนการกำจัดฝุ่นจากเตาหลอมจะประกอบด้วยของแข็งแขวนลอย (ฝุ่นของถ่านโค้กและแร่เหล็ก) และจากกระบวนการล้างด้วยกรดประกอบด้วย กรด เหล็ก และน้ำมัน
อุตสาหกรรมผลิตโลหะที่นอกเหนือไปจากเหล็ก สินแร่ดิบทองแดง ทองคำ และเงิน โดยปกติมักจะประกอบด้วยสารเจือปนพวกแคดเมียม ตะกั่ว สารหนู ฯลฯ สารเหล่านี้อาจจะถูกละลายออกมาในระหว่างกระบวนการผลิตหรืออยู่ในน้ำเสีย ซึ่งอาจจะตกค้างในดินหรือเกิดการปนเปื้อนในน้ำใต้ดินหากมีกระบวนการระบายน้ำเสียที่ไม่ได้มาตรฐานลงสู่ผิวดิน
อุตสาหกรรมการเคลือบโลหะ มีการใช้วัตถุดิบและสารเคมีหลายตัวในอุตสาหกรรม ดังนั้นในน้ำเสียจึงประกอบด้วยโลหะหนักหลายชนิด เช่น แคลเซียม สังกะสี ทองแดง ไซยาไนด์ โครเมี่ยมเฮ็กซาวาเล้นท์ กรด และด่าง ฯลฯ
อุตสาหกรรมเซรามิกส์และซีเมนต์ มีน้ำเสียที่ประกอบไปด้วยสารอินทรีย์แขวนลอยที่มีสภาพเป็นด่าง ในส่วนของอุตสาหกรรมเซรามิกส์ยังมีสารจำพวกให้สี และสารพวกวัตถุอันตรายเจือปนอยู่ด้วย
CORE BUSINESS
1. การบริการที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Consultants) บริการที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและระบบบำบัดมลพิษให้กับโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงาน อาคาร โรงพยาบาล หมู่บ้าน คอนโดมิเนียมและโรงแรม เพื่อการควบคุมระบบบำบัดมลพิษที่ดี ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน แนะนำการปรับปรุง การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม รวมถึงการช่วยสร้างวัฒนธรรมในการดูแลสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยสร้างความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจและสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
2. การบริการขึ้นทะเบียนผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษ (Pollution Controllers) บริการขึ้นทะเบียนผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษน้ำ ผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษอากาศและผู้ควบคุมระบบการจัดการมลพิษกากอุตสาหกรรม ในรูปแบบนิติบุคคล สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายตาม “ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การกำหนดชนิดและขนาดโรงงาน กำหนดวิธีการควบคุมการปล่อยของเสีย มลพิษหรือสิ่งใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กำหนดคุณสมบัติของผู้ควบคุมดูแล ผู้ปฏิบัติงานประจำและหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ควบคุมดูแลสำหรับระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ พ.ศ. 2545
3. งานด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม (Environmental Engineering) งานด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การออกแบบ การก่อสร้าง การปรับปรุง ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบผลิตก๊าซชีวภาพและระบบรีไซเคิลน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ โดยวิศวกรสิ่งแวดล้อม ระดับวุฒิวิศวกรและสามัญวิศวกร รวมถึงการให้คำปรึกษาในการคำนวณ การออกแบบ การควบคุมการก่อสร้าง การตรวจรับงานและการบริหารโครงการ (Project Management)
4. การควบคุมและเริ่มเดินระบบบำบัดมลพิษ (Operation and Start Up) บริการควบคุมและเริ่มเดินระบบบำบัดน้ำเสียรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบบำบัดน้ำเสียแบบชีวภาพ ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเคมี และระบบผลิตก๊าซชีวภาพโดยวิศวกร ผู้ชำนาญการและผู้ปฏิบัติงานเฉพาะด้าน เพื่อให้การบำบัดมลพิษมีประสิทธิภาพสูงสุดและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการควบคุมดูแลระบบ รวมทั้งการตรวจสภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ พร้อมการวางแผนเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) ให้เครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน
5. การตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ (Examination and Efficiency Analysis) บริการตรวจสอบ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพระบบบำบัดน้ำเสียไม่ว่าจะเป็น เครื่องจักร อุปกรณ์ ตู้ควบคุม รวมถึงประสิทธิภาพระบบบำบัดมลพิษที่มีอยู่ โดยผู้เชี่ยวชาญและการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ถูกต้อง และเชื่อถือได้ เพื่อให้ความมั่นใจต่อการควบคุมดูและระบบบำบัดมลพิษให้มีประสิทธิภาพและลดข้อร้องเรียนทางด้านสิ่งแวดล้อม
6. การซ่อมแซมและบำรุงรักษา (Service and Maintenance) บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ ภายในระบบบำบัดน้ำเสีย รวมถึงการปรับปรุงระบบบำบัดมลพิษที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและกำลังการผลิตของลูกค้าในอนาคต
7. การจัดอบรมและสัมมนา (Technical – Training Organizer) บริการจัดการอบรม การสัมมนาให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม การควบคุมระบบบำบัดมลพิษ การแก้ไขปัญหา การปลูกจิตสำนึกในการใช้ทรัพยากร และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ตรงตามความต้องการและเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เข้าอบรม
การบำบัดน้ำเสีย
ระบบบำบัดน้ำเสียเป็นระบบบำบัดหรือกำจัดสารมลทินที่ปนเปื้อนมากับน้ำเสีย “น้ำเสียเป็นน้ำที่ผ่านขบวนการใช้งานมาแล้ว” เช่น น้ำจากการชำระล้างต่างๆ น้ำจากขบวนการผลิตของโรงงานน้ำที่ผ่านการผสมสารเคมีต่างๆ รวมถึงน้ำที่ถูกใช้แล้วในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำจากห้องน้ำห้องส้วมเป็นต้น
หลักการจัดการน้ำเสียที่สำคัญ คือการนำน้ำเสียที่เกิดขึ้นเข้าสู่กระบวนการบำบัดให้ได้ตามมาตรฐานน้ำทิ้ง ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัย โดยทั่วไปการจัดการน้ำเสียจะประกอบด้วย
1. การรวบรวมน้ำเสีย (collection)
2. การบำบัดน้ำเสีย (treatment)
3. การนำกลับมาใช้ประโยชน์ (reuse and reclamation)
โดยชนิดและประเภทของน้ำเสียก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับขบวนการที่นำน้ำไปใช้งานดังนั้นสารมลทินที่ปนเปื้อนก็จะมีชนิดประเภทและปริมาณที่แตกต่างกันออกไปซึ่งพอที่จะแยกตามประเภทของน้ำเสียออกได้เป็น 2 ประเภทตามการปนเปื้อนของสารมลทิน ได้แก่
- น้ำเสียที่เป็นอินทรีย์สารซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำเสียที่มาจาก อาคาร บ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น
- น้ำเสียที่เป็นอนินทรีย์สารโดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำเสียที่มาจากกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม
ซึ่งน้ำเสียที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วจะต้องมีคุณภาพเป็นไปตามข้อกำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิธีการบำบัดมีหลายวิธี ได้แก่
- ระบบบำบัดทางกายภาพ (ระบบการกรอง การตกตะกอน ถังดักไขมัน)
- ระบบบำบัดทางเคมี (การเพิ่ม-ลดประจุไฟฟ้าของอิเลคตรอน)
- ระบบบำบัดชีวภาพ (แบบใช้ออกซิเจน และไม่ใช้ออกซิเจน)
- ระบบการทำให้ระเหยด้วยความร้อน
- ระบบบำบัดด้วยไฟฟ้า