ระบบบำบัดน้ำเสียแบบบ่อเติมอากาศ
เป็นระบบบำบัดน้ำเสียที่อาศัยการเติมออกซิเจนจากเครื่องเติมอากาศ (Aerator) ที่ติดตั้งแบบทุ่นลอยหรือยึดติดกับแท่นก็ได้ เพื่อเพิ่มออกซิเจนในน้ำให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับจุลินทรีย์ ให้สามารถนำไปใช้ย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสียได้เร็วขึ้นกว่าการปล่อยให้ย่อยสลายตามธรรมชาติ ทำให้ระบบบำบัดน้ำเสียแบบบ่อเติมอากาศสามารถบำบัดน้ำเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดปริมาณความสกปรกของน้ำเสียในรูปของค่าบีโอดี (Biochemical Oxygen Demand; BOD) ได้ร้อยละ 80-95 โดยอาศัยหลักการทำงานของจุลินทรีย์ภายใต้สภาวะที่มีออกซิเจน (Aerobic) โดยมีเครื่องเติมอากาศซึ่งนอกจากจะทำหน้าเพิ่มออกซิเจนในน้ำแล้วยังทำให้เกิดการกวนผสมของน้ำในบ่อด้วย ทำให้เกิดการย่อยสลายสารอินทรีย์ได้อย่างทั่วถึงภายในบ่อ
ระบบบำบัดแบบบ่อเติมอากาศ สามารถบำบัดได้ทั้งน้ำเสียจากแหล่งชุมชนที่มีความสกปรกค่อนข้างมากและน้ำเสียจากอุตสาหกรรม โดยปกติจะออกแบบให้บ่อมีความลึกประมาณ 2-6 เมตร และเครื่องเติมอากาศจะต้องออกแบบให้มีประสิทธิภาพ สามารถทำให้เกิดการผสมกันของตะกอนจุลินทรีย์ ออกซิเจนละลายในน้ำและน้ำเสีย นอกจากนี้จะต้องมีบ่อรับน้ำเสียจากบ่อเติมอากาศ (Polishing Pond หรือ Maturation Pond) เพื่อตกตะกอนและปรับสภาพน้ำทิ้งก่อนระบายออกสู่สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้จะต้องควบคุมอัตราการไหลของน้ำภายในบ่อและระยะเวลาเก็บกักให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการเจริญเติบโตของสาหร่าย (Algae) ในบ่อเพิ่มมากเกินไป
ระบบบ่อเติมอากาศส่วนใหญ่จะประกอบด้วย
1. บ่อเติมอากาศ (จำนวนบ่อขึ้นอยู่กับการออกแบบ)
2. บ่อปรับสภาพน้ำทิ้ง (จำนวนบ่อขึ้นอยู่กับการออกแบบ)
3. บ่อเติมคลอรีนสำหรับฆ่าเชื้อโรค จำนวน 1 บ่อ
อุปกรณ์ที่สำคัญของระบบบ่อเติมอากาศ ได้แก่ เครื่องเติมอากาศ เพื่อให้ออกซิเจนแก่น้ำเสีย เครื่องเติมอากาศแบ่งออกได้ 4 แบบใหญ่ ๆ คือ เครื่องเติมอากาศที่ผิวหน้า (Surface Aerator) เครื่องเติมอากาศเทอร์ไบน์ (Turbine Aerator) เครื่องเติมอากาศใต้น้ำ (Submersible Aerator) และเครื่องเติมอากาศแบบหัวฉีด (Jet Aerator)
เครื่องเติมอากาศที่ผิวหน้า (Surface Aerator)
จะทำหน้าที่ตีน้ำที่ระดับผิวบนให้กระจายเป็นเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อสัมผัสกับอากาศเพื่อรับออกซิเจน ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการกวนน้ำให้ผสมกันเพื่อกระจายออกซิเจน และมลสารในน้ำเสียให้ทั่วบ่อ
เครื่องเติมอากาศเทอร์ไบน์ใต้น้ำ (Submerged Turbine Aerator)
มีลักษณะการทำงานผสมกันระหว่างระบบเป่าอากาศ และระบบเครื่องกลเติมอากาศ กล่าวคือ อากาศหรือออกซิเจนจะเป่ามาตามท่อมาที่ใต้ใบพัดตีน้ำ จากนั้นอากาศจะถูกใบพัดเทอร์ไบน์ (Turbine) ตีฟองอากาศขนาดเล็กกระจายไปทั่วถังเติมอากาศ เครื่องเติมอากาศชนิดนี้มีความสามารถในการให้ออกซิเจนสูง แต่มีราคาแพงและต้องการการบำรุงรักษามากกว่าแบบอื่น
เครื่องเติมอากาศใต้น้ำ (Submersible Aerator)
มีลักษณะผสมกันระหว่างเครื่องสูบน้ำ (Pump) เครื่องดูดอากาศ (Air Blower) และเครื่องตีอากาศให้ผสมกับน้ำ (Disperser) อยู่ในเครื่องเดียวกัน แต่มีข้อจำกัดด้านการกวนน้ำ (Mixing)
เครื่องเติมอากาศแบบหัวฉีดน้ำ (Jet Aerator)
มี 2 แบบ คือ แบบแรกใช้หลักการทำงานของ Venturi Ejector และแบบที่สองจะเป็นการสูบฉีดน้ำลงบนผิวน้ำ การทำงานของแต่ละแบบมีดังนี้
- แบบ Venturi Ejector อาศัยเครื่องสูบน้ำแบบใต้น้ำฉีดน้ำผ่านท่อที่มีรูปร่างเป็น Venturi เพื่อเพิ่มความเร็วของน้ำจนกระทั่งเกิดแรงดูดอากาศจากผิวน้ำลงมาผสมกับน้ำก็จะถ่ายเทออกซิเจนลงไปในน้ำ การใช้เครื่องเติมอากาศแบบนี้เหมาะสำหรับน้ำเสียที่ไม่มีเศษขยะหรือของแข็งขนาดใหญ่เพื่ออาจเข้าไปอุดตันในท่อ Venturi ได้ง่าย
- แบบสูบฉีดน้ำลงบนผิวน้ำ (Water Jet Aerator) เป็นการสูบน้ำจากถังเติมอากาศมาฉีดด้วยความเร็วสูงลงไปที่ผิวน้ำ ซึ่งจะเกิดการกระจายของอากาศลงไปตามแรงฉีด
ข้อดีของระบบบำบัดแบบบ่อเติมอากาศ
1. ค่าลงทุนก่อสร้างต่ำ
2. ประสิทธิภาพของระบบสูง
3. สามารถรับการเพิ่มภาระมลพิษอย่างกระทันหัน (Shock Load) ได้ดี
4. มีกากตะกอนและกลิ่นเหม็นเกิดขึ้นน้อย
5. การดำเนินการและบำรุงรักษาง่าย
6. สามารถบำบัดได้ทั้งน้ำเสียชุมชนและน้ำเสียโรงงานอุตสาหกรรม
ข้อเสียของระบบบำบัดแบบบ่อเติมอากาศ
มีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าไฟฟ้าสำหรับเครื่องเติมอากาศ และค่าซ่อมบำรุงและดูแลรักษาเครื่องเติมอากาศ
“การให้บริการและการบริหารจัดการงานด้านสิ่งแวดล้อม
ด้วยหลักวิชาการและความซื่อสัตย์ เพื่อความยั่งยืนสำหรับลูกค้าในการแข่งขันทางธุรกิจ”
2. ผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษ (Pollution Controllers)
3. งานวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม (Environmental Engineering)
4. ควบคุมระบบบำบัดมลพิษ (Operation and Start Up)
5. ตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ (Examination and Efficiency Analysis)
6. ซ่อมแซมและบำรุงรักษา (Repair and Maintenance)
ลักษณะน้ำเสียตามประเภทอุตสาหกรรม เช่น
อุตสาหกรรมอาหาร น้ำเสียจากอุตสาหกรรมประเภทนี้โดยปกติแล้วจะไม่มีสารอันตราย แต่จะมีความแตกต่างกันตามประเภทโรงงาน วัตถุดิบ กระบวนการผลิตและปริมาณผลผลิต ลักษณะโดยทั่วไปจะประกอบด้วย อินทรีย์วัตถุ, ตะกอนแขวนลอย, ปริมาณและลักษณะน้ำเสีย, น้ำที่ใช้ล้าง (บางครั้งเป็นน้ำร้อน) มักถูกปล่อยออกมาเป็นจำนวนมาก, มักจะประกอบด้วยน้ำมัน ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส โดยเฉพาะพวกแป้งและเบียร์จะทำให้มีค่า BOD สูง
อุตสาหกรรมผลิตเหล็กและเหล็กกล้า เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำในปริมาณสูง น้ำเสียเกิดจากกระบวนการทำความเย็นและทำความสะอาดสำหรับเตาหลอมถ่านโค้ก ประกอบด้วย แอมโมเนีย ไซยาไนด์ ฟีนอล ฯลฯ นอกจากนี้น้ำเสียที่มาจากกระบวนการกำจัดฝุ่นจากเตาหลอมจะประกอบด้วยของแข็งแขวนลอย (ฝุ่นของถ่านโค้กและแร่เหล็ก) และจากกระบวนการล้างด้วยกรดประกอบด้วย กรด เหล็ก และน้ำมัน
อุตสาหกรรมผลิตโลหะที่นอกเหนือไปจากเหล็ก สินแร่ดิบทองแดง ทองคำ และเงิน โดยปกติมักจะประกอบด้วยสารเจือปนพวกแคดเมียม ตะกั่ว สารหนู ฯลฯ สารเหล่านี้อาจจะถูกละลายออกมาในระหว่างกระบวนการผลิตหรืออยู่ในน้ำเสีย ซึ่งอาจจะตกค้างในดินหรือเกิดการปนเปื้อนในน้ำใต้ดินหากมีกระบวนการระบายน้ำเสียที่ไม่ได้มาตรฐานลงสู่ผิวดิน
อุตสาหกรรมการเคลือบโลหะ มีการใช้วัตถุดิบและสารเคมีหลายตัวในอุตสาหกรรม ดังนั้นในน้ำเสียจึงประกอบด้วยโลหะหนักหลายชนิด เช่น แคลเซียม สังกะสี ทองแดง ไซยาไนด์ โครเมี่ยมเฮ็กซาวาเล้นท์ กรด และด่าง ฯลฯ
อุตสาหกรรมเซรามิกส์และซีเมนต์ มีน้ำเสียที่ประกอบไปด้วยสารอินทรีย์แขวนลอยที่มีสภาพเป็นด่าง ในส่วนของอุตสาหกรรมเซรามิกส์ยังมีสารจำพวกให้สี และสารพวกวัตถุอันตรายเจือปนอยู่ด้วย
CORE BUSINESS
1. การบริการที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Consultants) บริการที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและระบบบำบัดมลพิษให้กับโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงาน อาคาร โรงพยาบาล หมู่บ้าน คอนโดมิเนียมและโรงแรม เพื่อการควบคุมระบบบำบัดมลพิษที่ดี ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน แนะนำการปรับปรุง การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม รวมถึงการช่วยสร้างวัฒนธรรมในการดูแลสิ่งแวดล้อมภายในองค์กร ซึ่งจะช่วยสร้างความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจและสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
2. การบริการขึ้นทะเบียนผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษ (Pollution Controllers) บริการขึ้นทะเบียนผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษน้ำ ผู้ควบคุมระบบบำบัดมลพิษอากาศและผู้ควบคุมระบบการจัดการมลพิษกากอุตสาหกรรม ในรูปแบบนิติบุคคล สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายตาม “ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การกำหนดชนิดและขนาดโรงงาน กำหนดวิธีการควบคุมการปล่อยของเสีย มลพิษหรือสิ่งใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กำหนดคุณสมบัติของผู้ควบคุมดูแล ผู้ปฏิบัติงานประจำและหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ควบคุมดูแลสำหรับระบบป้องกันสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ พ.ศ. 2545
3. งานด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม (Environmental Engineering) งานด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การออกแบบ การก่อสร้าง การปรับปรุง ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบผลิตก๊าซชีวภาพและระบบรีไซเคิลน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ โดยวิศวกรสิ่งแวดล้อม ระดับวุฒิวิศวกรและสามัญวิศวกร รวมถึงการให้คำปรึกษาในการคำนวณ การออกแบบ การควบคุมการก่อสร้าง การตรวจรับงานและการบริหารโครงการ (Project Management)
4. การควบคุมและเริ่มเดินระบบบำบัดมลพิษ (Operation and Start Up) บริการควบคุมและเริ่มเดินระบบบำบัดน้ำเสียรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบบำบัดน้ำเสียแบบชีวภาพ ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเคมี และระบบผลิตก๊าซชีวภาพโดยวิศวกร ผู้ชำนาญการและผู้ปฏิบัติงานเฉพาะด้าน เพื่อให้การบำบัดมลพิษมีประสิทธิภาพสูงสุดและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการควบคุมดูแลระบบ รวมทั้งการตรวจสภาพเครื่องจักรและอุปกรณ์ พร้อมการวางแผนเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) ให้เครื่องจักรและอุปกรณ์สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน
5. การตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ (Examination and Efficiency Analysis) บริการตรวจสอบ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพระบบบำบัดน้ำเสียไม่ว่าจะเป็น เครื่องจักร อุปกรณ์ ตู้ควบคุม รวมถึงประสิทธิภาพระบบบำบัดมลพิษที่มีอยู่ โดยผู้เชี่ยวชาญและการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ถูกต้อง และเชื่อถือได้ เพื่อให้ความมั่นใจต่อการควบคุมดูและระบบบำบัดมลพิษให้มีประสิทธิภาพและลดข้อร้องเรียนทางด้านสิ่งแวดล้อม
6. การซ่อมแซมและบำรุงรักษา (Service and Maintenance) บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ ภายในระบบบำบัดน้ำเสีย รวมถึงการปรับปรุงระบบบำบัดมลพิษที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและกำลังการผลิตของลูกค้าในอนาคต
7. การจัดอบรมและสัมมนา (Technical – Training Organizer) บริการจัดการอบรม การสัมมนาให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม การควบคุมระบบบำบัดมลพิษ การแก้ไขปัญหา การปลูกจิตสำนึกในการใช้ทรัพยากร และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ตรงตามความต้องการและเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เข้าอบรม
การบำบัดน้ำเสีย
ระบบบำบัดน้ำเสียเป็นระบบบำบัดหรือกำจัดสารมลทินที่ปนเปื้อนมากับน้ำเสีย “น้ำเสียเป็นน้ำที่ผ่านขบวนการใช้งานมาแล้ว” เช่น น้ำจากการชำระล้างต่างๆ น้ำจากขบวนการผลิตของโรงงานน้ำที่ผ่านการผสมสารเคมีต่างๆ รวมถึงน้ำที่ถูกใช้แล้วในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำจากห้องน้ำห้องส้วมเป็นต้น
หลักการจัดการน้ำเสียที่สำคัญ คือการนำน้ำเสียที่เกิดขึ้นเข้าสู่กระบวนการบำบัดให้ได้ตามมาตรฐานน้ำทิ้ง ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัย โดยทั่วไปการจัดการน้ำเสียจะประกอบด้วย
1. การรวบรวมน้ำเสีย (collection)
2. การบำบัดน้ำเสีย (treatment)
3. การนำกลับมาใช้ประโยชน์ (reuse and reclamation)
โดยชนิดและประเภทของน้ำเสียก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับขบวนการที่นำน้ำไปใช้งานดังนั้นสารมลทินที่ปนเปื้อนก็จะมีชนิดประเภทและปริมาณที่แตกต่างกันออกไปซึ่งพอที่จะแยกตามประเภทของน้ำเสียออกได้เป็น 2 ประเภทตามการปนเปื้อนของสารมลทิน ได้แก่
- น้ำเสียที่เป็นอินทรีย์สารซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำเสียที่มาจาก อาคาร บ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น
- น้ำเสียที่เป็นอนินทรีย์สารโดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำเสียที่มาจากกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม
ซึ่งน้ำเสียที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วจะต้องมีคุณภาพเป็นไปตามข้อกำหนดและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง วิธีการบำบัดมีหลายวิธี ได้แก่
- ระบบบำบัดทางกายภาพ (ระบบการกรอง การตกตะกอน ถังดักไขมัน)
- ระบบบำบัดทางเคมี (การเพิ่ม-ลดประจุไฟฟ้าของอิเลคตรอน)
- ระบบบำบัดชีวภาพ (แบบใช้ออกซิเจน และไม่ใช้ออกซิเจน)
- ระบบการทำให้ระเหยด้วยความร้อน
- ระบบบำบัดด้วยไฟฟ้า